Hamutaro

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

10 ขนมไทยที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน



10 ขนมไทยชาววังที่ (หม่อม) ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนนั้น มีหน้าตาและวิธีการทำที่ยุ่งยากเหลือเกินเพคะ สงสัยจังว่า กว่าจะคิดได้แต่ละเมนู ได้มีสิ่งอันใดบ้างเล่าที่เป็นส่วนผสม ขนมถึงได้ออกมาน่าทาน ช่างครีเอทีฟสรรค์สร้างได้ขนาดนี้ มาเริ่มที่อันดับ 1 เลยเจ้าค่ะ

1. บุหลันดั้นเมฆ



หนึ่งในบรรดาขนมไทยชาววัง ที่มีชื่อ หน้าตาและสีสัน ที่สวยงาม เกิดจากจินตนาการ ออกแบบสีและรูปทรงจากการฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ "บุหลันลอยเลื่อน" โดยแทนสีเหลืองที่อยู่ตรงกลาง เป็น บุหลันหรือดวงจันทร์ (ทำจากไข่แดง) และแทนสีฟ้าครามที่อยู่ล้อมรอบ เป็น ท้องฟ้า (จากน้ำอัญชัน)


2. ขนมเกสรชมพู




ขนมชนิดนี้มองกันให้ดีนะเจ้าคะ ว่านั่นคือมะพร้าวขูด ไม่ใช่ข้าวเหนียว เพราะมีหลายคนเข้าใจผิดเป็น "ข้าวเหนียวแก้ว" ซึ่งที่จริงแล้วคือมะพร้าวขูดกวนกับวุ้น รสชาตินี้หม่อมขอบอกเลยเจ้าค่ะว่า รสมะพร้าว "มันติดปาก หอมติดใจ และ หวานติดปลายลิ้น"

3. ขนมโพรงแสม


ขนมโพรงแสม มีลักษณะคล้ายทองม้วนแต่ต่างตรงที่เคลือบน้ำตาล หรือน้ำแตงโม ราดพันรอบๆ โดยที่ความกรอบ หอม หวาน และมัน เข้ากันอย่างลงตัว ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นขนมมงคลในพิธีสมรส ซึ่งแทนความหมาย ถึงความแข็งแรงมั่นคงของเสาบ้าน และให้บ่าวสาวมีความรักที่ยืนยาวหวานหอม

4. ขนมหม้อตาล


หรือ ที่เรียกว่าขนม "หม้อเงิน หม้อทอง" เป็นขนมที่นิยมใช้ในพิธีมงคลสมรส เพราะชื่อและรูปทรง ที่มีความหมายถึง หม้อที่เต็มไปด้วยเงินทอง เต็มไปด้วยสีสันของน้ำตาล ความหวาน ช่วยส่งเสริมให้บ่าวสาวรักกันยาวนาน ร่ำรวย

5. ขนมเทียนสลัดงา


ขนมเทียนสลัดงา หรือ ขนมงาสลัด เป็นขนมที่ให้ความหมายเป็นสิริมงคล เพราะเทียนนั้นแทนการส่องแสง สว่างไสวรุ่งโรจน์ ส่วนตัวข้าวเหนียวแก้ว ก็จะให้ความเหนียวแน่นเป็นปึกแผ่น และตัวงานั้นหมายถึง ความเจริญงอกงามนั่นเอง

6. ขนมพันตอง


เป็นขนมที่ต้องทานคู่กันทั้ง 2 ห่อ คือ ห่อของไส้ มีส่วนผสมของมะพร้าวกับน้ำตาลปี๊ปปั้นเป็นก้อนกลมๆ และอีกห่อเป็นส่วนของแป้ง ประกอบด้วยหัวกะทิ แป้งข้าวเจ้า เกลือ ความเค็มของแป้งกะทิและไส้มะพร้าวออกหวานนิด ตัดกันอร่อยกลมกล่อมอย่างลงตัว

7. ขนมดอกลำเจียก


ขนมดอกลำเจียก หรือ ขนมเกสรลำเจียก ตัวขนมมีลักษณะคล้ายดอกลำเจียกที่ออกดอกอย่างเต็มที่ ตัวกลีบเกสรแตกออก ส่งกลิ่นหอมหวนชวนถวิลหา ตัวไส้หวานมันมะพร้าว ถูกห่อด้วยแป้งข้าวเจ้าน้ำใบเตยอบด้วยควันเทียน นุ่มๆหอมๆ เคี้ยวเพลินๆ

8. ขนมโคกะทิ


ขนมโคกะทิ เป็นขนมที่ได้รับวิวัฒนาการดัดแปลงจาก ขนมโค โดยขนมโคเดี่ยวๆ จะกินแบบแห้ง แต่พอเติมน้ำกะทิลงไป ก็จะกลายเป็นขนมโคกะทิ และยังมีลักษณะคล้ายขนมหัวล้าน ซึ่งขนมหัวล้านกับขนมโคนั้น มีความแตกต่างกันที่ไส้ข้างใน หากเป็นขนมโคหรือโคกะทิจะเป็นไส้มะพร้าวผัดน้ำตาลพอหอมๆกลิ่นไหม้ๆ แต่ถ้าเป็นขนมหัวล้านจะเป็นไส้ถั่วเขียวรสชาติหวานๆมันๆ

9. ขนมไข่ปลา


เอกลักษณ์อยู่ที่รูปทรงและสีสัน ถูกประดิษฐ์ออกมาคล้ายคลึงกับไข่ปลาสีเหลือง และด้วยรสชาติความเหนียวนุ่ม หวาน มัน หอมเนื้อตาล ซึ่งต้องกินคู่กับ มะพร้าวขูดเค็มๆมันๆ เข้ากันกำลังดี ที่สำคัญใช้แป้งเดียวกับที่ทำขนมตาล จึงทำง่ายไม่ยุ่งยาก

10. ขนมสามเกลอ


ความเก๋ของขนมสามเกลออยู่ตรงที่ เป็นขนมสำหรับเสี่ยงทายในวันแต่งงาน โดยจะดูได้จากการนำลงไปทอด 3 ลูกเรียงกันถ้าทอดแล้วยังติดกันอยู่ 3 ลูก ถือว่าบ่าวสาวจะรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ถ้าทอดแล้วติดกัน 2 ลูก อาจจะมีลูกยากหรือไม่มีเลย และถ้าไม่ติดกันเลยซักลูก แปลว่าชีวิตสมรสจะไม่มีความสุข แต่ถ้าทอดแล้วพองฟูจะถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกิ่งทองกับใบหยก

ครบแล้ว 10 อย่าง ไหน ใครบ้างเอ่ยรู้จักครบหมดเลย (แสดงว่า 40+ ละสิ) ใครที่ยังไม่เคย อย่าลืมลองหาทานกันนะครับ ยากหน่อยแต่ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยกันอุดหนุนตามสถานที่ที่มีขายขนมเหล่านี้ แถมยังเป็นการสืบสานให้คงอยู่ต่อไป จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเลยนะคะ

แหล่งที่มา http://www.pptvthailand.com/news/8831

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

10 ร้านขนมไทย ในกรุงเทพฯ อร่อยจนติดใจชาวต่างชาติ


ขนม ขึ้นชื่อว่า ขนม คงเป็นอาหารที่หลายคนชื่นชอบ เพราะขนมมีหลากหลายรูปแบบให้เราได้เลือกกิน วันนี้ EDTguide ขอเลือกมาแนะนำขนมไทย ที่มีเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นขนมที่ชาวต่างชาติสนใจในความอร่อย บวกกับความปราณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ สีสันสวยงาม ทำให้ขนมไทยเป็นที่ติดใจของหลายๆๆ คน ว่าแล้วเราไปดูกันว่ามีร้านไหนที่เขาขายขนมไทยกันบ้าง

ขนมหวานแม่กวา




ร้านขนมหวานแม่กวา เป็นร้านขนมไทยโบราณเปิดมานานหลายปี มีสารพัดขนมหวานให้ลิ้มลองที่เป็นที่นิยม ข้าวเหนียวมูนหน้าต่างๆ รสชาติหวานหอมอร่อย ที่ต้องติดใจแน่นอน ขนมไทยสารพัดชนิด ที่ต้องลอง ! วุ้น, ทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง, เม็ดขนุน, ขนมหยกมณี

ขนมถังแตกทรงเครื่องป้าติ๋ม



ร้าน ขนมถังแตกทรงเครื่อง ความอร่อยเป็นที่เลื่องลือ ขนมที่สูตรเด็ดไม่เหมือนใคร มีไส้ให้เลือกชิม 6 ไส้ 6 แบบ ขนาดชิ้นโต ไส้ข้างในจะแน่น รสชาติหวานหอมอร่อย แนะนำ ขนมถังแตกทรงเครื่อง ไส้ข้าวโพด, ขนมถังแตกทรงเครื่อง ลิ้มลองแล้วต้องติดใจ !

วุ้นคุณเก๋ขนมหวาน



ร้านวุ้นคุณเก๋ขนมหวาน ย่านตลาดบองมาเช่ เป็นขนมไทยสไตล์แฟนตาซี สีสรรสวยงาม วุ้น มี 30 รสชาติ ให้ลิ้มลอง วัตถุดิบคัดสรรอย่างดี ไม่เติมสีสังเคราะห์ และสารกันเสียใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ มีขนมของฝาก ให้เลือกมากมาย ทั้ง อัลมอนด์เมอแรงค์, ชิฟฟอนเค้ก, เต้าฮวยฟรุ๊ตสลัด, น้ำลูกยอ 

ของหวานป้านิ่ม



ร้านขนมหวานชื่อดังของจังหวัด ฝีมือการทำขนมของป้านิ่มเป็นที่เลื่องลือในเรื่องความอร่อยมานานหลายปี ขนมหวานป้านิ่มแบ่งเป็น 2 เมนู คือ เมนูร้อนๆ ที่มีทั้งเต้าส่วน ลูกเดือยเปียกมะพร้าวอ่อน บัวลอยมะพร้าวอ่อนน้ำหอม ที่รสชาติไม่หวานเกินไป และเมนูเย็นๆ อย่างลอดช่องสิงคโปร์ รวมมิตรน้ำแข็งไส และไอศกรีมกะทิสด ใส่ไข่แดง 

ชั้นขนมหวาน (เอิร์ธ ศัลย์ อิทธิสุขนันท์)




ภายในร้านตกแต่งแบบสมัยใหม่ โปร่งโล่งสบาย สีที่ใช้ทางร้านจะเน้นโทนสีเขียวอ่อน และสีขาว เพราะดูสบายตา ร้านชั้นขนมหวานได้มีการปรับปรุงใหม่ โดยมีการเปลี่ยนแปลงจากร้านขนมไทยร้านเดิมๆ ที่ตกแต่งร้านเป็นแบบไทย มาเป็นร้านที่มีความทันสมัยแปลกตา และใส่ไอเดียใหม่ๆ ลงไปเพื่อให้ขนมไทย เพิ่มสีสันให้ขนมดูน่ารับประทานมากขึ้น 

ป้าสุนขนมหวาน




บรรยากาศร้านเป็นบ้านไม้ทรงไทยสมัยเก่า ร่มรื่น สวยงามภายในตกแต่งด้วยชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้ และ ของเก่าแก่ ที่ทางร้านได้นำมาตกแต่งไว้ให้ได้ชม ร้านป้าสุนขึ้นชื่อเรื่องขนมหวาน ที่รสชาติ หอมหวาน อร่อย ถูกปาก แถมราคาเป็นกันเอง 

ทับทิมกรอบสยาม




ร้านทับทิมกรอบสยาม ย่านบางลำพู สูตรต้นตำรับทับทิมกรอบใส่มะพร้าวกะทิเจ้าแรก เปิดมานานหลายสิบปี ทับทิมสีสรรสวยงามน่ารับประทาน นอกจากนี้มีซ่าหริ่ม แปะก๊วย แห้ว วัตถุดิบสดใหม่ สะอาด มีกลิ่นหอมของน้ำกะทิ เย็น สดชื่น 

นพวรรณขนมไทย




ขนมไทยและอาหารว่างไทยมีชื่อเสียงในด้านความสวยงาม ละเอียดประณีต และความวิจิตรบรรจง ด้วยรสชาดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงเป็นที่นิยมของลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมายาวนาน จัดจำหน่ายขนมไทยต่าง ๆ และเครื่องดื่มสมุนไพร พร้อมสอนทำขนมไทยทุกชนิด อาทิเช่น ขนม 9 มงคล, อาหารว่าง สำหรับขนมไทยที่เป็นจุดเด่นจริงๆ ของร้าน นพวรรณขนมไทย อาจารย์นพวรรณ บอกว่าคือขนมมงคล 9 เป็นหลัก ได้แก่ จ่ามงกุฎ เสน่ห์จันทร์ ทองเอก ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ฝอยเงิน เม็ดขนุน และขนมชั้น 

ขนมไทยแม่อุดม




ร้านขนมแม่อุดม เป็นร้านขายขนมไทยโบราณซึ่งเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ก็ว่าได้ เพราะเปิดขายมานานกว่า 50 ปี มีคุณอุดม ปัทมสูต เป็นเจ้าของร้านและผู้ลงมือทำขนมไทยอันหลากหลายที่มีขายอยู่ที่ร้าน ขนมไทยที่ชวนรับประทานของที่นี่มีมากมากหลายหลากแบบเลือกไม่ถูก แต่ถ้าถามถึงขนมไทยเด่นๆ ก็ต้องไม่พลาด ทองหยิบ,ทองหยอด,ฝอยทอง,เม็ดขนุน,ข้าวเหนียวแก้ว,ข้าวเหนียวแดง,ปั้นสิบปลาสด,ข้าวดอกตั้ง,หม้อแกงถั่ว,ตะโก้,ทองเอก,เปียกปูน เพราะอร่อยจนต้องบอกต่อ 

ขนมไทยบ้านขนมสวย




ด้วยประสบการณ์การทำขนมมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ โดยมีรางวัลต่างๆ การันตีคุณภาพของ "บ้านขนมสวย" จึงเป็นร้านขนมไทยที่คงความเป็นเอกลักษณ์แบบไทยๆ ในด้านรสชาติ ซึ่งเป็นรสชาติแบบดั้งเดิม ทั้งความหวาน หอม มัน และด้านรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของทางร้านเอง ซึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์ของคุณนวลสมร สวัสดิ์-ชูโต ที่ประดิษฐ์ขนมไทยจากรูปแบบเดิมๆ ให้มีรูปลักษณ์สวยงามแบบธรรมชาติ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาวงการขนมไทยมาจนถึงทุกวันนี้

เเหล่งที่มา http://www.edtguide.com/article/

สูตรขนมหวานไทย

  สูตรขนมหวานไทย : กล้วยบวดชี

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม





* กล้วยน้ำว้า 8 ลูก (เลือกห่ามๆ ไม่สุกมาก)
* หัวกะทิ 450 มิลลิลิตร
* หางกะทิ 500 มิลลิลิตร
* ใบเตย 2 ใบ
* น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม
* น้ำตาลทรายขาว 40 กรัม
* เกลือ


  วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำกล้วยไปนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 3-5 นาที หรือนึ่งจนกระทั่งผิวกล้วยเริ่มแตกออก จึงปิดไฟและนำออกมาปอกเปลือกและหั่นครึ่งลูก จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

2. นำหางกะทิไปต้มในหม้อและใส่ใบเตยลงไปด้วย เมื่อเดือดแล้วจึงใส่กล้วยที่หั่นไว้แล้วลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลทรายขาวและเกลือนิดหน่อย

3. เมื่อกะทิเริ่มเดือดอีกครั้งจึงใส่หัวกะทิลงไป และปล่อยทิ้งไว้ให้เดือดอีกประมาณ 3 นาที ถ้าต้องการให้น้ำข้นเหนียวก็ให้ใส่แป้งมันลงไปประมาณ 1 ช้อนชาและคนให้ละลายทั่ว

4. อย่าต้มนานจนเกินไปเพราะจะทำให้กล้วยเละ กล้วยควรจะยังแข็งนิดหน่อย จากนั้นตักใส่จานและเสริฟทันที


สูตรขนมหวานไทย : ฝอยทอง

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม




 * ไข่เป็ด 5 ฟอง
 * ไข่ไก่ 5 ฟอง
 * น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
 * น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
* ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ
   (ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านป้าน)
* น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
* กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ)
* ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ)


  วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ต่อยไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก

2. ผสมไข่แดง, ไข่น้ำค้างและน้ำมันพืชเข้าด้วยกัน คนจนผสมกันทั่ว

3. นำน้ำลอยดอกมะลิผสมกับน้ำตาลในกระทะทองเหลืองและนำไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจนเดือด

   สูตรขนมหวานไทย : ลูกชุบ

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม




* ถั่วเขียว 450 กรัม
* น้ำตาลทราย 200 กรัม (สำหรับผสมถั่ว)
* น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับทำน้ำวุ้น)
* น้ำกะทิ 400 กรัม
* วุ้นผง 3 ช้อนโต๊ะ
* น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำวุ้น)
* สีผสมอาหาร
   (อย่างน้อยแม่สี 3 สี : สีแดง, สีเหลืองและน้ำเงิน),
   จานสีและพู่กัน
* ไม้จิ้มฟัน
   (สำหรับเสียบถั่วที่ปั้นแล้วเพื่อแต่งสีและจิ้มลงในน้ำวุ้น)
* โฟม
  (สำหรับเสียบถั่วปั้นระหว่างทำ ถ้าวางบนพื้นจะเสียทรง)



 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทำความสะอาด และแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที)

2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นำไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้ำตาลทรายและน้ำกะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี

3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปปั้นได้)

4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงตามใจชอบ (ผัก, ผลไม้หรือสัตว์น่ารักๆ) เมื่อปั้นเสร็จให้เสียบไม้จิ้มฟันรอไว้ ควรปั้นส่วนผสมทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถั่วที่ปั้นเสร็จแล้วควรห่อไว้ด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆ

5. ผสมสีผสมอาหารตามต้องการ แล้วจึงบรรจงแต่งสีลงบนถั่วปั้นให้เหมือนจริง หรือตามแต่ความชอบ

6. ทำน้ำวุ้นโดยผสมน้ำเปล่า, ผงวุ้นและน้ำตาล ลงในหม้อ นำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง หมั่นคนอย่างสม่ำเสมอ รอจนส่วนผสมเดือด ช้อนฟองที่ลอยหน้าออก จึงหรี่ไฟลง

7. นำถั่วปั้นที่แต่งสีแล้วไปชุบในน้ำวุ้น ควรชุบประมาณ 2 - 3 ครั้ง ระหว่างชุบวุ้นต้องอุ่นน้ำวุ้นด้วยไฟอ่อนเพื่อไม่ให้วุ้นแข็ง ถ้าไม่พอก็ผสมน้ำวุ้นขึ้นใหม่ตามอัตราส่วนข้างต้น

8. นำลูกชุบออกจากไม้ิจิ้มฟัน ตัดแต่งเศษวุ้นส่วนเกินออกด้วยกรรไกร จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆได้ทันที

เเหล่งที่มาhttp://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Green_peanut_in_jelly_th.html

วิธีทำขนมไทย

 การทำขนมไทยนั้น สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน โดยสามารถแยกออกเป็น วิธีหลักๆ ดังนี้
     1. ต้ม : คือ การนำวัตถุดิบใส่หม้อพร้อมกับน้ำหรือกะทิ ตั้งไฟให้เดือดจนสุก การทำขนมที่ต้องต้ม และเป็นขนมที่ใช้ใบตองห่อ ต้องห่อให้สนิท ใบตองต้อง ไม่แตก เช่นข้าวต้ม แกงบวด ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ฯลฯ


 2. นึ่ง : คือ การทำอาหารให้สุกโดยใช้ไอน้ำ โดยใส่ขนมลงไปในลังถึง ปิดฝา ตั้งไฟให้น้ำเดือด นึ่งจนขนมสุก ส่วนมากจะเป็นขนมที่มีไข่เป็นส่วนผสม เช่น สาลี่ ชนมชั้น สอดไส้ ฯลฯ เวลาและความร้อนที่ใช้ในการทำนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของขนมนั้นๆ


3. ทอด : คือ การทำอาหารให้สุกด้วยน้ำมัน โดยใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อนทั่วแล้วจึงใส่ขนมที่จะทอดลงไป ขนมบางชนิดใช้น้ำมันมาก เรียกว่า ทอดน้ำมันลอย ใช้ไฟปานกลางสม่ำเสมอ บางชนิดใช้น้ำมันน้อย ใช้กระทะก้นตื้น ตัวอย่างขนมที่ใช้วิธีทอดได้แก่ ข้าวเม่าทอด ทองพลุ ฯลฯ


  4. จี่ : คือ การทำขนมให้สุกในกระทะโดยใช้น้ำมันแต่น้อย ทาที่กระทะพอลื่น กระทะที่จะใช้จี่ต้องเป็นกระทะเหล็กหล่อแบน กว้าง เนื้อเหล็กหนา การจี่ใช้ไฟอ่อน ตั้งกระทะให้ร้อนรุมอยู่ตลอดเวลา และกลับขนมให้เหลืองเสมอกันทั้งสองด้าน เช่น แป้งจี่ 


  5. เจียว : คือ การทำให้เครื่องปรุงเหลืองกรอบโดยใช้น้ำมัน เช่น หอมเจียว การเจียว หอมเพื่อโรยหน้าขนม หัวหอมควรซอยชิ้นให้เสมอกัน เวลาจะเจียวจะสุกพร้อมกัน มีสีเหลืองสวย น้มันที่เจียวไม่ควรมากเกินไป กะพอใส่ของลงไปแล้วพอดี ใช้ตะหลัวกลับไปกลับมาจนเหลืองกรอบ เจียวจนน้ำมันเหลือติดก้นกระทะเล็กน้อย แต่ระวังหอมไหม้




 6. ปิ้ง : คือ การทำอาหารให้สุกโดยการวางขนมที่ต้องการปิ้วไว้เหนือไฟ มีตะแกรงรองรับ ไฟไม่ต้องแรงนัก กลับไปกลับมาจนขนมสุก ขนมบางชนิดใช้ใบตองห่อ แล้วปิ้งจนเกรียม หรือกรอบ เช่นขนมาก ข้าวเหนียวปิ้ง ก่อนจะปิ้งควรใช้ขี้เถ้ากลบถ่านไว้ เพื่อให้ความ ร้อนที่ได้สม่ำเสมอกัน


  7. ผิงและอบ : ขนมที่ใช้ผิงมีหลายชนิด จะใช้ผิงด้วยไฟบนและไฟล่าง ไฟจะต้องมีลักษณะ อ่อนเสมอกัน ปัจจุบันนิยมใช้เตาอบแทนการผิง เพราะควบคุมความร้อนได้ง่ายกว่า ขนมไทยที่ใช้วิธีการผิงและอบ ได้แก่ ขนมหม้อแกง สาลี่กรอบ ขนมผิง ฯลฯ


เเหล่งที่มา http://www.ezythaicooking.com/thai_dessert/cooking_thai_dessert.html

ขนมไทยแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลัก

 1. ขนมชาววัง : เป็นขนมไทยที่ใช้ความละเมียดละไม ประดิดประดอยหลาย ขั้นตอน สูตรต้นตำหรับเกิดจากการค่านิยมที่คนสมัยก่อนมักส่งลูกหลานที่ เป็นผู้หญิงเข้าไปในวัง เพื่อถวายตัวรับใช้เจ้านายในตำหนักต่างๆ โดยมีการฝึกฝน ฝืมือด้านต่างๆอย่างวิถีของชาววัง รวมถึงการฝีกทำอาหารและขนมด้วย ขนมไทย ชาววังจึงขึ้นชื่อในเรื่องของความละเอียด ประณีต พิถีพิถันในทุกขั้นตอนของการ ทำรวมถึงการเลือกใช้วัตถุดิบ ตัวอย่างของขนมชาววังได้แก่ ขนมลูกชุบ ขนมเบื้อง วุ้นกะทิ วุ้นสังขยา ขนมไข่เหี้ย เป็นต้น



 2. ขนมชาวบ้าน (หรือขนมตามฤดูกาล) : เป็นขนมไทยที่ทำง่ายๆ ไม่พิถีพิถันมาก วัตถุดิบที่ใช้ มักจะเป็นผลไม้ที่หาได้ตามฤดูกาล มักทำกันทานภายในครัวเรือน โดยเน้นทำกิน เอง เหลือก็สามารถนำไปขายได้ ตัวอย่างของขนมชาวบ้าน ได้แก่ ฟักทองเชื่อม กล้วยไข่เชื่อม กล้วยตาก เป็นต้น นอกจากผลไม้ที่หาได้ตามฤดูกาลแล้ว วัตถุดิบ หลักอื่นๆที่ใช้ก็มักจะเป็นสิ่งที่หาได้ง่าย เช่นข้าวเจ้า ข้าวเหนียว มะพร้าว นำมาผสม กับน้ำตาล ทำเป็นขนมได้หลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนมเปียกปูน ขนมจาก ขนมขี้หนู ตะโก้ ขนมน้ำดอกไม้ และอื่นๆอีกมากมาย สำหรับผลไม้ที่เหลือเกินรับประทาน ก็จะนำมาถนอมอาหารด้วย ภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อให้สามารถเก็บไว้กินได้นานๆ เช่น ทุเรียนกวน มะม่วงกวน กล้วยตาก กล้วยฉาบ เป็นต้น



   3. ขนมไทยที่ใช้ในงานประเพณี และศาสนา : ขนมไทยในกลุ่มนี้จะสอดแทรกอยู่ ในงานประเพณีต่างๆ รวมถึงงานบุญทางศาสนาด้วย ตัวอย่างเช่น ในประเพณีปีใหม่ ของไทย (วันสงกรานต์) นอกจากมีการทำบุญตักบาตร รดน้ำดำหัวแล้ว คนไทยใน สมัยโบราณนิยมทำขนม กาละแมร์ และข้าวเหนียวแดงเพื่อถวายพระและแจกจ่ายให้เพื่อนบ้านอีกด้วย นอกจากนั้น ในช่วงวันสารทไทย ก็มักจะนิยมทำขนม "กระยาสารท" เพื่อทำบุญ รำลึกถึงบรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว โดยจะตักบาตรด้วยกระยาสารทที่ตัดเป็นชิ้นๆแล้ว ห่อด้วยใบตองคู่กับกล้วยไข่เป็นของแกล้มกัน

  

  4. ขนมไทยที่ใช้กับงานมงคล : งานมงคลต่างๆ มักจะมีขนมไทยความหมายดีๆ ประกอบอยู่ในพิธีอย่างขาดเสียมิได้ ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ โดยงานมงคลเหล่านี้มักจะมีการทำบุญเลี้ยงพระ ตัวอย่างขนมไทยที่ใช้ในงานมงคลได้แก่ ขนมชั้น เม็ดขนุน ขนมถ้วยฟู ขนมปุยฝ้าย เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีขนมที่มีคำว่าทองทั้งหลาย เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองเอก ทองพลุ เพื่อมีความหมายนัยว่า เงินทองจะได้ไหลมาเทมา ส่วนเม็ดขนุนก็สื่อถึงการทำภารกิจใดๆ ก็จะลุล่วงไปได้ ด้วยดี มีคนช่วยเหลือสนับสนุนให้งานสำเร็จ ขนมถ้วยฟู / ปุยฝ้าย สื่อถึงความเฟื่องฟู ส่วนในงานฉลองเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ก็มักจะมีขนมจ่ามงกุฏ เพื่อสื่อถึงยศตำแหน่ง ที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นต้น



เเหล่งที่มา http://www.ezythaicooking.com/thai_dessert/about_thai_dessert.html

ประวัติขนมไทย




ขนมไทยเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในสมัยอยุธยา ดังปรากฏข้อความในจดหมายเหตุหลายฉบับ บางฉบับกล่าวถึง “ย่านป่าขนม” หรือตลาดขนม บางฉบับกล่าวถึง “บ้านหม้อ” ที่มีการปั้นหม้อ และรวมไปถึงกระทะ ขนมเบื้อง เตาและรังขนมครก แสดงให้เห็นว่าขนมครกและขนมเบื้องนั้น คงจะแพร่หลายมากจนถึงขนาดมีการปั้นเตาและกระทะขาย บางฉบับกล่าวถึงขนมชะมด ขนมกงเกวียนหรือขนมกง ขนมครก ขนมเบื้อง ขนมลอดช่อง
จนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันถือได้ว่าเป็นยุคทองของการทำขนมไทย ดังที่จดหมายเหตุฝรั่งโบราณได้มีการบันทึกไว้ว่า การทำขนมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชาวโปรตุเกสอย่างท่านผู้หญิงวิชาเยนทร์หรือบรรดาศักดิ์ว่า ท้าวทองกีบม้า ผู้เป็นต้นเครื่องขนมหรือของหวานในวัง ได้สอนให้สาวชาววังทำของหวานต่าง ๆ โดยเฉพาะได้นำไข่ขาวและไข่แดงมาเป็นส่วนผสมสำคัญอย่างที่ทางโปรตุเกสทำกัน ขนมที่ท่านท้าวทองกีบม้าทำขึ้นและยังเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบันก็ได้แก่ ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง และรวมไปถึง ขนมทองโปร่ง ขนมทองพลุ ขนมสำปันนี ขนมไข่เต่า ฯลฯ

ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ผู้ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ ๒,๐๐๐ รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล 

ในกาพย์ห่อโคลงเห่เรือชมเครื่องคาวหวาน บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้กล่าวชมเครื่องหวานหรือขนมไทยหลายชนิดด้วยกัน อาทิ ข้าวเหนียวสังขยา ขนมลำเจียก ขนมทองหยิบ ขนมทองหยอด ขนมผิง ขนมรังไร ขนมช่อม่วง ขนมบัวลอย ฯลฯ
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ การทำขนมไทยก็เป็นหนึ่งในตำราอาหารไทยนั้น จึงนับได้ว่าการทำขนมไทยและวัฒนธรรมขนมไทย เริ่มมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างมีระบบระเบียบในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง แม่ครัวหัวป่าก์เป็นตำราอาหารไทยเล่มแรก ประพันธ์โดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในตำราอาหารไทยเล่มนี้ปรากฏรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระอันประกอบด้วย ขนมทองหยิบ ขนมฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ข้าวเหนียวแก้ว ขนมลืมกลืน วุ้นผลมะปราง ฯลฯ แสดงให้เห็นว่าคนไทยนิยมทำขนมใช้ในงานบุญ ซึ่งก็เป็นแบบแผนต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา

ความหมายขนมไทย

คำว่า “ขนม” เข้าใจว่ามาจากคำสองคำที่มาผสมกันคือ “ข้าวหนม” และ “ข้าวนม” เข้าใจว่าเป็นข้าวผสมน้ำอ้อย น้ำตาล โดยอนุโลมคำว่าหนม แปลว่า หวาน ข้าวหนม ก็แปลว่า ข้าวหวาน เรียกสั้นๆ เร็วๆ ก็กลายเป็น ขนม ไป
ส่วนที่ว่ามาจากข้าวนม (ข้าวเคล้านม) นั้นดูจะเป็นตำนานแขกโบราณ อย่างข้าวมธุปายาส (ที่นางสุชาดาทำถวายพระพุทธเจ้าเมื่อตอนตรัสรู้ก็ว่าเป็นข้าวหุงกับนม)
คำว่า ขนม มีใช้มาหลายร้อยปียากจะสันนิฐานแน่นอนได้ เช่นเดียวกับไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่า “ขนมไทย” เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดเป็นครั้งแรก แต่ตามประวัติศาสตร์ไทยมีหลักฐานตอนหนึ่งว่า มีการจารึกชื่อขนมในแท่งศิลาจารึก เป็นการจารึกแบบลายแทงสมัยโบราณ ขนมที่ปรากฏคือ “ไข่กบ นกปล่อย บัวลอย อ้ายตื้อ” ถามผู้ใหญ่ดูถึงได้รู้ว่า ไข่กบ หมายถึง เม็ดแมงลัก นกปล่อย หมายถึง ลอดช่อง บัวลอย หมายถึง ข้าวตอก อ้ายตื้อ หมายถึง ข้าวเหนียว ขนมทั้งสี่ใช้น้ำกระสายอย่างเดียวกันคือ “น้ำกะทิ” โดยใช้ถ้วยใส่ขนม ซึ่งเราเรียกการเลี้ยงขนม 4 อย่างนี้ว่า “ประเพณี 4 ถ้วย”
ขนมประเภทที่ใช้ข้าว (แป้ง) น้ำตาล มะพร้าว คงจะมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เพราะมีการติดต่อกับต่างประเทศ กล่าวว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีท่านผู้หญิงของเจ้าพระยาวิชาเยนชร์บรรดาศักดิ์ “ท้าวทองกีบม้า” ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับชาวพนักงานของหวาน ได้ประดิษฐ์คิดค้นขนมตระกูลทองเพราะมีไข่ผสมคือ ทองหยิบ ทองหยอด ทองพลุ ฝอยทอง ทองโปร่ง เป็นต้น

 ขนมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากขนมของชาติอื่น 

ประเทศไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้    ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทยๆ จนทำให้คนรุ่นหลังๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น
ประเทศอินเดีย :ขนมไทยดั้งเดิมที่ใช้ข้าว แป้ง น้ำตาลและมะพร้าว เป็นองค์ประกอบหลัก โดยเฉพาะวิธีปรุงอย่างโบราณ คือการกวนและต้มน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย กะละแมไทยได้แบบมาจากขนมดึกดำบรรพ์ของอินเดีย ชื่อ ฮูละวะ ทำมาจากแป้ง นม น้ำตาล ขนมต้มได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย เป็นขนมโมทก ที่ชาวอินเดียนิยมใช้บูชาพระพิฆเนศ 
ประเทศโปรตุเกส :ทองหยอดและฝอยทอง มีต้นกำเนิดจาก โดย “มารี กีมาร์” หรือ “ท้าวทองกีบม้า”ภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น    สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทย

แหล่งที่มา https://kanomwanthai.wordpress.com/